แคนตาลูป เป็นพืชที่ชอบอากาศอบอุ่นถึงร้อน อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ที่ระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส และความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืนจะมีอิทธิพลต่อความหวาน และคุณภาพของแคนตาลูป ถ้าความแตกต่างยิ่งมากจะทำให้ความหวานและคุณภาพยิ่งสูง แต่สภาพที่หนาวเย็นจะทำให้ผลแคนตาลูปไม่โต การเจริญเติบโตจะชะงัก เป็นพืชที่ชอบแสงแดดตลอดวัน
หากปลูกในสภาพพื้นดินแบบไร่ควรเป็นพื้นที่โล่งแจ้ง และไม่เคยปลูกพืชตระกูลแตงมาก่อน เป็นดินร่วนปนทรายระบายน้ำได้ดี มีความเป็น กรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 6.0-6.8
สำหรับการปลูกในกระถางหรือกระสอบทั่วไปในปัจจุบันดูจะเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นด้วยใช้พื้นที่น้อย ดูแลบำรุงรักษาสะดวก ตลอดถึงการเก็บผลผลิต กระสอบที่จะนำมาเป็นภาชนะปลูกต้องเจาะรูที่ก้นกระสอบเพื่อการระบายน้ำ รองพื้นกระสอบด้วยใบไม้แห้ง เถาแตงหรือซากวัชพืชที่ย่อยสลายได้ง่าย ที่สำคัญต้องหลีกเลี่ยงใบมะม่วงเพราะย่อยสลายช้า เติมด้วยดินผสมปุ๋ยคอกในอัตราส่วนผสม 9:1 แล้วเติมใบไม้แห้งตามด้วยดินส่วนผสมอีกชั้นหนึ่ง โดยให้ได้ปริมาณ 90% ของกระสอบรดน้ำต่อเนื่อง 1 อาทิตย์ จากนั้นตามด้วยน้ำปูนจะเป็นปูนขาวหรือปูนแดงที่ใช้ป้ายใบพลูกินกับหมากก็ได้ โดยใช้ปูน1ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ถัง รดให้ชุ่ม อีกประการ ดิน ปุ๋ยคอก ใบไม้ หรือเครื่องปลูกทุกชนิดที่นำมาเป็นวัสดุปลูกจะต้องผ่านการตากแดดให้แห้งดีแล้วเป็นสำคัญ
ส่วนกระสอบที่เหมาะสมจะอยู่ที่หน้ากว้าง 10 นิ้วหรือ11 นิ้วหรือ12 นิ้วสำหรับ 10 นิ้วอาจจะดูเล็กแต่ก็ให้ผลใหญ่ใกล้เคียงกัน
เมื่อเตรียมดินปลูกกระสอบปลูกเรียบร้อยแล้ว นำเมล็ดพันธุ์บรรจุลงในถุงพลาสติก หรือถุงซิบที่เจาะรูพรุน หรือถุงเน็ต ลงแช่ในน้ำสะอาดนานประมาณ 4-6 ชม. จากนั้นนำออกมาสลัดน้ำทิ้ง ใช้ผ้าขนหนูที่เปียกพอหมาด ๆ ห่อ นำไปบ่มในอุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส โดยใช้หลอดไฟขนาด 40-60 W. บ่มนาน 24 ชม. เมล็ดจะเริ่มงอกรากยาวประมาณ 0.5 ชม. ก็สามารถนำไปหยอดลงในถุงดินหรือถาดเพาะกล้าต่อไปได้
ถุงดินสำหรับเพาะเมล็ด ใช้ดินร่วนผสมปุ๋ยคอกที่สลายตัวแล้ว ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน กรอกลงในถุงพลาสติกขนาด 4×4 นิ้ว หรือ 4×6 นิ้ว โดยเจาะรูที่ก้นถุงทั้ง 2 ข้าง เพื่อระบายน้ำ และนำถุงดินไปวางเรียงในแปลงเพาะ จากนั้นรดน้ำถุงดินให้ชุ่ม นำเมล็ดที่งอกรากแล้วหยอดลงไปถุงละ 1 เมล็ด หลังหยอด 2-3 วัน เมล็ดจะเริ่มชูใบเลี้ยงขึ้นมา แกะเอาเปลือกของเมล็ดออก รดน้ำต้นกล้าทุกวันเช้าเย็น อายุต้นกล้าที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 10-12 วัน มีใบจริง 2-4 ใบ ก็สามารถย้ายลงปลูกในกระสอบที่เตรียมไว้ได้ หลังจากมีใบจริง 4-5 ใบ แล้วให้ปุ๋ยอินทรีย์ประเภทเน้นเร่งดอกและผล
เมื่อเริ่มทอดยอดให้ใช้เชือกฟางผูกหลวมๆ บริเวณใต้ข้อปล้องที่ 2-3 จากยอดยึดกับค้างโดยผูกทุกๆ 3 ปล้อง ปกติค้างจะมีความสูงอยู่ที่ประมาณ 150 – 180 เซนติเมตร ควรเด็ดยอดทิ้งเมื่อเริ่มมีความสูงประมาณ 140 เซนติเมตร
และนับตั้งแต่ปลูกจนถึงให้ผลผลิตและเก็บเกี่ยวจะอยู่ที่ประมาณ 70–80 วัน แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และการบำรุงดูแลของผู้ปลูกด้วย
หากปลูกในสภาพพื้นดินแบบไร่ควรเป็นพื้นที่โล่งแจ้ง และไม่เคยปลูกพืชตระกูลแตงมาก่อน เป็นดินร่วนปนทรายระบายน้ำได้ดี มีความเป็น กรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 6.0-6.8
สำหรับการปลูกในกระถางหรือกระสอบทั่วไปในปัจจุบันดูจะเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นด้วยใช้พื้นที่น้อย ดูแลบำรุงรักษาสะดวก ตลอดถึงการเก็บผลผลิต กระสอบที่จะนำมาเป็นภาชนะปลูกต้องเจาะรูที่ก้นกระสอบเพื่อการระบายน้ำ รองพื้นกระสอบด้วยใบไม้แห้ง เถาแตงหรือซากวัชพืชที่ย่อยสลายได้ง่าย ที่สำคัญต้องหลีกเลี่ยงใบมะม่วงเพราะย่อยสลายช้า เติมด้วยดินผสมปุ๋ยคอกในอัตราส่วนผสม 9:1 แล้วเติมใบไม้แห้งตามด้วยดินส่วนผสมอีกชั้นหนึ่ง โดยให้ได้ปริมาณ 90% ของกระสอบรดน้ำต่อเนื่อง 1 อาทิตย์ จากนั้นตามด้วยน้ำปูนจะเป็นปูนขาวหรือปูนแดงที่ใช้ป้ายใบพลูกินกับหมากก็ได้ โดยใช้ปูน1ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ถัง รดให้ชุ่ม อีกประการ ดิน ปุ๋ยคอก ใบไม้ หรือเครื่องปลูกทุกชนิดที่นำมาเป็นวัสดุปลูกจะต้องผ่านการตากแดดให้แห้งดีแล้วเป็นสำคัญ
ส่วนกระสอบที่เหมาะสมจะอยู่ที่หน้ากว้าง 10 นิ้วหรือ11 นิ้วหรือ12 นิ้วสำหรับ 10 นิ้วอาจจะดูเล็กแต่ก็ให้ผลใหญ่ใกล้เคียงกัน
เมื่อเตรียมดินปลูกกระสอบปลูกเรียบร้อยแล้ว นำเมล็ดพันธุ์บรรจุลงในถุงพลาสติก หรือถุงซิบที่เจาะรูพรุน หรือถุงเน็ต ลงแช่ในน้ำสะอาดนานประมาณ 4-6 ชม. จากนั้นนำออกมาสลัดน้ำทิ้ง ใช้ผ้าขนหนูที่เปียกพอหมาด ๆ ห่อ นำไปบ่มในอุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส โดยใช้หลอดไฟขนาด 40-60 W. บ่มนาน 24 ชม. เมล็ดจะเริ่มงอกรากยาวประมาณ 0.5 ชม. ก็สามารถนำไปหยอดลงในถุงดินหรือถาดเพาะกล้าต่อไปได้
ถุงดินสำหรับเพาะเมล็ด ใช้ดินร่วนผสมปุ๋ยคอกที่สลายตัวแล้ว ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน กรอกลงในถุงพลาสติกขนาด 4×4 นิ้ว หรือ 4×6 นิ้ว โดยเจาะรูที่ก้นถุงทั้ง 2 ข้าง เพื่อระบายน้ำ และนำถุงดินไปวางเรียงในแปลงเพาะ จากนั้นรดน้ำถุงดินให้ชุ่ม นำเมล็ดที่งอกรากแล้วหยอดลงไปถุงละ 1 เมล็ด หลังหยอด 2-3 วัน เมล็ดจะเริ่มชูใบเลี้ยงขึ้นมา แกะเอาเปลือกของเมล็ดออก รดน้ำต้นกล้าทุกวันเช้าเย็น อายุต้นกล้าที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 10-12 วัน มีใบจริง 2-4 ใบ ก็สามารถย้ายลงปลูกในกระสอบที่เตรียมไว้ได้ หลังจากมีใบจริง 4-5 ใบ แล้วให้ปุ๋ยอินทรีย์ประเภทเน้นเร่งดอกและผล
เมื่อเริ่มทอดยอดให้ใช้เชือกฟางผูกหลวมๆ บริเวณใต้ข้อปล้องที่ 2-3 จากยอดยึดกับค้างโดยผูกทุกๆ 3 ปล้อง ปกติค้างจะมีความสูงอยู่ที่ประมาณ 150 – 180 เซนติเมตร ควรเด็ดยอดทิ้งเมื่อเริ่มมีความสูงประมาณ 140 เซนติเมตร
และนับตั้งแต่ปลูกจนถึงให้ผลผลิตและเก็บเกี่ยวจะอยู่ที่ประมาณ 70–80 วัน แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และการบำรุงดูแลของผู้ปลูกด้วย
ขอบคุณที่มา: เดลินิวส์
ความคิดเห็น