ดีปลีเป็นพืชสมุนไพรนิยมใช้แทนเครื่องเทศ ประเภทพริก และพริกไทย มีสรรพคุณช่วยแก้โรคหลายอย่าง ทุกส่วนของดีปลี ตั้งแต่ดอก เถา ผลที่บางรายเรียกว่าดอกไปจนถึงราก นำมาทำเป็นยาสมุนไพรแก้โรค
ปัจจุบันมีการนำดีปลีมาปลูกกันกว้างขวางมากขึ้นเนื่องจากมีความนิยมนำมาบริโภคในประเภทผักเคียงกับน้ำพริกนอกจากการใส่ไม้เครื่องแกง โดยปลูกให้เกาะกับต้นไม้ใหญ่หรือต้นไม้ประเภทให้ผลในพื้นที่บริเวณบ้าน
สำหรับผู้ที่สนใจต้องการปลูกบ้างก็สามารถทำได้ เพราะเป็นพืชปลูกไม่ยาก ขั้นต้นดินและพื้นที่ปลูกให้พิจารณาเลือกพื้นที่ที่มีดินอุดมสมบูรณ์ มีความร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี ส่วนพันธุ์ ใช้เถามาปักชำ จะใช้ส่วนยอดหรือไหลมาชำก็ได้ แต่ที่นิยมและให้ผลเร็วจะเป็นส่วนยอดมากกว่าเพราะเจริญเติบโตไม่นานก็จะให้ผลผลิตได้เลย
การปลูกเมื่อเตรียมพื้นที่เสร็จแล้วใช้ยอดแก่ประมาณ 3-4 ยอดต่อจุดปลูก 1 จุด ค้างซึ่งสามารถใช้ยอดปลูกได้เลย โดยตัดยอด ดีปลีที่ความยาวประมาณ 5 ข้อแล้วนำไปปลูกติดกับต้นไม้หรือเสาค้าง ฝังลงดินลึกประมาณ 3 ข้อ นำส่วนยอดผูกติดกับเสาค้างหรือต้นไม้ เพื่อให้รากยึดเกาะที่จะเกิดขึ้นใหม่สะดวกกับการเกาะติดกับเสาค้างหรือต้นไม้ พรางแสงด้วยทางมะพร้าวหรือทางปาล์ม ประมาณ 2 สัปดาห์ ช่วงนี้รดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น ส่วนค้างที่ใช้ปลูกดีปลี หากไม่ใช้ต้นไม้ใหญ่ในพื้นที่ก็สามารถใช้ค้างไม้หรือค้างเสาปูนก็ได้ หากเป็นค้างไม้ควรมีขนาดเส้น ผ่าศูนย์กลาง 10-15 เซนติเมตร เป็นไม้เนื้อแข็ง มีอายุการใช้งาน 10-20 ปี ต้นดีปลี สามารถยึดเกาะได้เป็นอย่างดี หากใช้เสาคอนกรีตสี่เหลี่ยมควรใช้ขนาด 15x15 เซนติเมตร สูง 2.5 เมตร แต่รากของดีปลีที่ใช้ยึดเกาะกับเสาค้าง จะยึดเกาะได้ไม่ดีเท่าค้างเสาไม้เพราะมีอุณหภูมิที่เสาเก็บไว้ในช่วงกลางวันสูงกว่าค้างไม้
ดีปลีเป็นพืชหลายปีและให้ผลผลิตได้ตลอดปี ที่สำคัญต้องใส่ปุ๋ยสม่ำเสมอ โดยใช้ปุ๋ยคอกที่แห้งดีแล้วหว่านรอบโคนเสาอย่างน้อยเดือนละครั้งแบบบาง ๆ หลังจากดีปลีออกดอกและมีการเก็บมาใช้ประโยชน์แล้ว ควรรดน้ำแบบพอชุ่มสัปดาห์ละครั้ง ช่วงแดดอ่อนในตอนเย็น แต่ระวังอย่าให้แฉะจนเกินไปเพราะดีปลีค่อนข้างอ่อนไหวต่อโรคโคนเน่า ดีปลีจะให้ผลผลิตและเก็บเกี่ยวได้ประมาณหลังปลูก 6 เดือน ถึง 1 ปี โดยทั่วไปที่ปลูกกันในเชิงพาณิชย์จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 3 ครั้งต่อ 1 ปี การเก็บควรใช้มือเด็ดที่ก้านขั้วผล ใน 1 กิ่ง จะเก็บผลดีปลีได้ 2-3 ผลต่อครั้ง แต่ละรุ่นที่เก็บได้จะใช้ระยะเวลาห่างกันประมาณ 1-2 เดือน
ปัจจุบันมีการนำดีปลีมาปลูกกันกว้างขวางมากขึ้นเนื่องจากมีความนิยมนำมาบริโภคในประเภทผักเคียงกับน้ำพริกนอกจากการใส่ไม้เครื่องแกง โดยปลูกให้เกาะกับต้นไม้ใหญ่หรือต้นไม้ประเภทให้ผลในพื้นที่บริเวณบ้าน
สำหรับผู้ที่สนใจต้องการปลูกบ้างก็สามารถทำได้ เพราะเป็นพืชปลูกไม่ยาก ขั้นต้นดินและพื้นที่ปลูกให้พิจารณาเลือกพื้นที่ที่มีดินอุดมสมบูรณ์ มีความร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี ส่วนพันธุ์ ใช้เถามาปักชำ จะใช้ส่วนยอดหรือไหลมาชำก็ได้ แต่ที่นิยมและให้ผลเร็วจะเป็นส่วนยอดมากกว่าเพราะเจริญเติบโตไม่นานก็จะให้ผลผลิตได้เลย
การปลูกเมื่อเตรียมพื้นที่เสร็จแล้วใช้ยอดแก่ประมาณ 3-4 ยอดต่อจุดปลูก 1 จุด ค้างซึ่งสามารถใช้ยอดปลูกได้เลย โดยตัดยอด ดีปลีที่ความยาวประมาณ 5 ข้อแล้วนำไปปลูกติดกับต้นไม้หรือเสาค้าง ฝังลงดินลึกประมาณ 3 ข้อ นำส่วนยอดผูกติดกับเสาค้างหรือต้นไม้ เพื่อให้รากยึดเกาะที่จะเกิดขึ้นใหม่สะดวกกับการเกาะติดกับเสาค้างหรือต้นไม้ พรางแสงด้วยทางมะพร้าวหรือทางปาล์ม ประมาณ 2 สัปดาห์ ช่วงนี้รดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น ส่วนค้างที่ใช้ปลูกดีปลี หากไม่ใช้ต้นไม้ใหญ่ในพื้นที่ก็สามารถใช้ค้างไม้หรือค้างเสาปูนก็ได้ หากเป็นค้างไม้ควรมีขนาดเส้น ผ่าศูนย์กลาง 10-15 เซนติเมตร เป็นไม้เนื้อแข็ง มีอายุการใช้งาน 10-20 ปี ต้นดีปลี สามารถยึดเกาะได้เป็นอย่างดี หากใช้เสาคอนกรีตสี่เหลี่ยมควรใช้ขนาด 15x15 เซนติเมตร สูง 2.5 เมตร แต่รากของดีปลีที่ใช้ยึดเกาะกับเสาค้าง จะยึดเกาะได้ไม่ดีเท่าค้างเสาไม้เพราะมีอุณหภูมิที่เสาเก็บไว้ในช่วงกลางวันสูงกว่าค้างไม้
ดีปลีเป็นพืชหลายปีและให้ผลผลิตได้ตลอดปี ที่สำคัญต้องใส่ปุ๋ยสม่ำเสมอ โดยใช้ปุ๋ยคอกที่แห้งดีแล้วหว่านรอบโคนเสาอย่างน้อยเดือนละครั้งแบบบาง ๆ หลังจากดีปลีออกดอกและมีการเก็บมาใช้ประโยชน์แล้ว ควรรดน้ำแบบพอชุ่มสัปดาห์ละครั้ง ช่วงแดดอ่อนในตอนเย็น แต่ระวังอย่าให้แฉะจนเกินไปเพราะดีปลีค่อนข้างอ่อนไหวต่อโรคโคนเน่า ดีปลีจะให้ผลผลิตและเก็บเกี่ยวได้ประมาณหลังปลูก 6 เดือน ถึง 1 ปี โดยทั่วไปที่ปลูกกันในเชิงพาณิชย์จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 3 ครั้งต่อ 1 ปี การเก็บควรใช้มือเด็ดที่ก้านขั้วผล ใน 1 กิ่ง จะเก็บผลดีปลีได้ 2-3 ผลต่อครั้ง แต่ละรุ่นที่เก็บได้จะใช้ระยะเวลาห่างกันประมาณ 1-2 เดือน
นับเป็นพืชที่มีอายุยืน หากบำรุงรักษาดีจะสามารถให้ผลผลิตได้นานถึง 40 ปี สำหรับดีปลีที่มีคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ คือ ผลขนาดใหญ่ สีน้ำตาลแดง ไม่ดำคล้ำ แห้งสนิทไม่กรอบเกิน ไป ไม่มีเชื้อราหรือแมลงติดอยู่ และไม่มีสิ่งปนเปื้อน เมื่อนำไปจำหน่ายจะได้ราคาดี
ที่มา เดลินิวส์
ความคิดเห็น