ว่าที่ ร.ต.อาทิตย์ อุ่นนาแซง นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร กลุ่มยุทธศาสตร์และสารสนเทศ สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า เกษตรกรบ้านท่าดอกแก้ว ตำบลท่าจำปา อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ที่มีอาชีพทำนาทั้งนาปีและนาปรังมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ในระยะหลัง ๆ ต้องเจอกับปัญหาภัยแล้ง จึงหันมาปลูกพืชน้ำน้อยทดแทนการทำนาปรัง หลังจากเก็บเกี่ยวนาปีแล้ว โดยเลือกการปลูกแตงไทยแทนเพราะมีรายได้ดีเฉลี่ยอยู่ที่กำไรประมาณไร่ละ 10,000-15,000 บาท ในระยะเวลาเพียง 2 เดือนครึ่ง ถ้าไม่เจอปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนและการเกิดโรคของแปลงแตงไทย
โดยทำการปลูกบนพื้นที่กว่า 16 ไร่ และได้ปลูกแตงไทยมาประมาณ 3 ปีแล้ว เพราะเป็นพืชที่ผู้บริโภคและตลาดมีความต้องการ และถ้าหากปลูกแบบปลอดภัยก็จะทำให้มีราคาที่สูงกว่าตลาดทั่วไป
โดยหลังการเก็บเกี่ยวเกษตรกรจะไถกลบตอซังข้าว เพื่อให้ย่อยสลายเป็นปุ๋ยภายในดิน อีกทั้งเป็นการลดการเกิดมลภาวะจากการเผาตอซังข้าว และเพื่อตากดินให้แห้งประมาณ 15 วัน เป็นการฆ่าเชื้อโรคและแมลงศัตรูพืชตามธรรมชาติในดิน
จากนั้นจึงยกร่องแปลงนาเพื่อปลูกแตงไทย ซึ่งลักษณะหลังร่องจะกว้างประมาณ 80 เซนติเมตร เว้นระยะห่างกันประมาณ 50 เซนติเมตร จากนั้นก็นำปูนขาวไปหว่านให้ทั่วแปลงเพื่อฆ่าเชื้อโรคและปรับสภาพดินให้เหมาะแก่การเจริญเติบโต รวมทั้งใส่ปุ๋ยคอกบนร่องแปลงปลูกเพื่อเพิ่มแร่ธาตุในดิน
จากนั้นก็นำพลาสติกมาคลุมแปลงเมื่อแล้วเสร็จก็เจาะรูด้านบนและด้านข้างระยะห่างประมาณ 50 – 70 เซนติเมตร เพื่อปลูกแตงไทยและให้น้ำซึมเข้าไปในแปลงยกร่อง เมื่อแล้วเสร็จก็จะสูบน้ำเข้ามาตามร่องแปลง โดยให้ระดับน้ำสูงกว่ารูที่เจาะด้านข้างของพลาสติกเพื่อสร้างความชื้นในดิน แล้วนำต้นกล้าจากถาดเพาะที่มีอายุ ประมาณ 17 วัน มาปลูกในหลุมที่เจาะรูไว้
โดยในทุก ๆ วันจะให้น้ำโดยใช้ระบบน้ำหยด วันละ 2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น นานประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อแตงไทยอายุได้ประมาณ 30 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดเพราะต้นแตงไทยจะเริ่มออกดอกชุดแรกและเริ่มติดผลอ่อน ระยะนี้จะใส่ปุ๋ยหมักอินทรีย์ที่ทางสำนักงานเกษตรอำเภอท่าอุเทนและเจ้าหน้าที่นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรได้จัดอบรมถ่ายทอดความรู้ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ และไตรโคเดอร์ม่าให้
ซึ่งเกษตรกรได้นำมาใช้ในการปลูกแตงไทย จะทำให้ปลอดภัยทั้งผู้ใช้และผู้บริโภคอีกด้วย จากนั้นจะนำไปใส่อีกครั้งช่วงที่ต้นแตงไทยอายุได้ประมาณ 45 วัน และใส่ครั้งสุดท้ายเมื่อขนาดผลของแตงไทยอยู่ที่ประมาณ 1-2 กิโลกรัม เพราะเป็นช่วงสร้างเนื้อขยายผล
ในส่วนของการจำหน่าย จะมีทั้งพ่อค้าคนกลางมารับซื้อถึงที่ ในราคากิโลกรัมละ 11 บาท ส่วนที่เหลือจากที่พ่อค้าคนกลางมารับซื้อก็จะนำมาวางขาย ตามแนวถนนสายศรีสงคราม–ท่าดอกแก้ว ในราคา 4 กิโลกรัม 100 บาท
ที่มา: เดลินิวส์
ความคิดเห็น